วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปลาปิรันยา

ปลาปิรันยา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปลาปิรันยา
ปลาปิรันยาแดง (Pygocentrus nattereri)








ปลาปิรันยา (อังกฤษ: Piranha) เป็นชื่อสามัญเรียกปลาน้ำจืดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอยู่ในวงศ์ย่อย Serrasalmidae ในวงศ์ปลาคาราซิน (Caracidae) โดยทั่วไป ปลาที่ได้ชื่อว่า "ปิรันยา" นั้นจะหมายถึงปลาในสกุล Pristobrycon, Pygocentrus, Pygopristis และ Serrasalmus แต่ก็อาจรวมถึงปลาในสกุล Catoprion ด้วย ส่วนปลาในสกุลอื่นมักไม่นิยมเรียกว่าปลาปิรันยา ถึงแม้จะอยู่ในวงศ์ย่อยนี้ก็ตาม
ปลาปิรันยากินเนื้อเป็นอาหาร มักอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ พบในแม่น้ำอเมซอน ทวีปอเมริกาใต้ มีฟันที่แหลมคมรูปสามเหลี่ียมขนาดใหญ่ กินเนื้อของสัตว์ที่ตกลงไปอยู่ใกล้ที่อยู่เป็นอาหาร โดยเฉพาะสัตว์ที่ตื่นตระหนกตกใจ หรืออยู่ในภาวะอ่อนแอบาดเจ็บ เสียงตูมตามของน้ำที่กระเพื่อม จะดึงดูดปลาปิรันยาเข้ามาอย่างว่องไว ซึ่งปลาปิรันยาจะใช้ฟันที่แหลมคมกัดกินเนื้อของสัุตว์ใหญ่จนทะลุไปถึงกระดูก สันหลังได้เพียงไม่กี่นาที
ในปลายทศวรรษที่ 70 ที่บราซิล มีอุบัติเหตุรถบัสที่วิ่งไปมาระหว่างเมือง เกิดอุบัติเหตุจมลงในแม่น้ำสาขาหนึ่งของแม่น้ำอเมซอน หลายชั่วโมงผ่านไปกว่าที่หน่วยกู้ภัยจะกว้านซากรถขึ้ันมาได้ มีผู้เสียชีวิตที่ติดอยู่ในรถออกมาไม่ได้ทั้งหมด 39 ราย และส่วนใหญ่ปรากฏว่าศพของผู้เสียชีวิตถูกปลาปิรันยากัดแทะจนแทบไม่เหลือสภาพ ดั้งเดิม หนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิง, เด็กทารก และเด็กผู้หญิง ครอบครัวเดียวกันด้วย [2]
แต่อาหารโดยปกติของปลาปิรันยาแล้ว ก็คือ ปลาที่อยู่ในแม่น้ำ ปลาปิรันยาจัดเป็นปลาที่อันตรายชนิดหนึ่งที่ทั่วโลกรู้จักดี ชนิดที่ดุร้ายมาก ได้แก่ ปลาปิรันยาแดง (Pygocentrus nattereri) ฯลฯ บางประเทศ เช่น ประเทศไทยห้าม นำเข้า "หมายถึงห้ามนำเข้าตัวที่ยังมีชีวิต" เพราะเกรงจะแพร่ลงสู่แหล่งน้ำและขยายพันธุ์ โดยผู้ที่ฝ่าฝืนมีความผิดตาม พระราชบัญญัติการประมงมาตรา 53 และมีโทษตามมาตรา 67 ทวิ คือ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนสองหมื่นบาท หรือ จำคุกไม่เกิน 6 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ [3]
แต่บางประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่นอนุญาต ให้เลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้ ส่วนประเทศไทย ถ้านำเข้ามาในรูปอาหารแช่แข็ง เช่น ปลาปิรันยาแช่แข็ง เพื่อนำมาบริโภคอย่างเช่น ร้านอาหาร หรือภัตตาคาร ก็สามารถนำเข้ามาได้ไม่ผิดกฎหมาย
ฟันที่แหลมคมของปลาปิรันยา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปลาปิรันยาก็เป็นปลาที่ขี้ตื่นตกใจ เหตุที่ต้องรวมตัวกันเป็นฝูง ก็เพื่อหลีกเลี่ยงสัตว์นักล่าชนิดอื่น ๆ ที่กินปลาปิรันยาเป็นอาหาร เช่น ปลาอะราไพม่า (Arapaima gigas), นากยักษ์ (Pteronura brasiliensis), โลมาแม่น้ำอเมซอน (Inia geoffrensis) และนกกินปลาอีกหลายชนิด รวมถึงปลาปิรันยาเองก็เป็นอาหารพื้นถิ่นของชาวพื้นบ้านอเมซอนด้วย[2]
ปลาปิรันยา วางไข่ในช่วงต้นฤดูฝน ปลายฤดูร้อน ในแหล่งน้ำตื้น ๆ ใกล้ชายฝั่ง โดยจะวางไข่ไว้ติดกับกอของพืชน้ำ โดยมีปลาตัวผู้เป็นผู้ดูแลไข่ ซึ่งหากมีสัตว์หรือมนุษย์มาคุกคาม แม้จะโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็จะถูกปลาปิรันยาเข้าทำร้าย[2]
ปลาชนิดอื่นซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับปลาปิรันยา แต่ไม่มีความดุร้ายเท่าและสามารถกินได้ทั้งพืชและสัตว์ คือ ปลาเปคู หรือ ปลาคู้ ซึ่งในประเทศไทยถือเป็นปลาเศรษฐกิจและปลาสวยงามด้วย เช่น ปลาคู้ดำ (Colossoma macropomum) และ ปลาคู้แดง (Piaractus brachypomus) เป็นต้น[4] [5]
จากชื่อเสียงที่โด่งดังในเรื่องความดุร้ายและทำร้ายมนุษย์ได้ ทำให้ได้มีการอ้างอิงถึงปลาปิรันยาในวัฒนธรรมร่วมสมัยต่าง ๆ มากมาย เช่น การ์ตูนญี่ปุ่น หรือภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะของฮอลลีวู้ด เช่น เจมส์ บอนด์ ตอน You Only Live Twice ในปี ค.ศ. 1967[6] หรือ Piranha 3D ในปี ค.ศ. 2010 และPiranha 3DD ในปี ค.ศ. 2012 ที่เป็นภาพยนตร์สามมิติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น